ซิกมุนด์ ฟรอยด์(Sigmund Freud)นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย เชื่อสายยิว เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษพาคม 1856 ชื่อเดิมของเขาคือซิกิสมุนด์ ชโลโม ฟรอยด์ ก่อนที่จะตัดให้สั้นลงเหลือแค่ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ในปี 1877 ครอบครัวของฟรอยด์มีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลางเมื่ออายุ 4 ขวบ จึงย้ายจากเมืองไฟเบร์กไปอยู่ที่กรุงเวียนนา ต่อมาได้แต่งงานกับมาร์ธา เบอร์เน มีลูกด้วยกันถึง 6 คน จนถึงปี 1938 กองทัพนาซีของเยอรมันบุกเข้ายึดครองออสเตรีย ทำให้เขาต้องหลบหนีปอยู่อังกฤษและ 1 ปีหลังจากนั้นเขาก็ถึงแก่กรรมในวันที่ 23 กันยายน 1939 ด้วยอายุ 83 ปี
ฟรอยด์สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวียนนาสาขาวิทยาศาสตร์ ในปี 1873 แต่เนื่องจากสาขานี้มีรายได้น้อยไม่พอเลี้ยงครอบครัว เขาจึงตัดสินใจเรียนต่อในสาขาแพทย์ศาสตร์ หลังจากเรียนจบเขาได้ไปศึกษาต่อด้านโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ที่นั่นฟรอยด์ได้ค้นพบความจริงว่า คนไข้บางรายที่ป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย
หลังจากกลับมาอยู่ที่กรุงเวียนนา ฟรอยด์จึงตัดสินใจเดินบนถนนของจิตแพทย์ และใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ กับคนไข้ที่เป็นอัมพาต กล่าวคือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏส่ามีผู้ป่วยหลายคนหายจากอัมพาต
ฟรอยด์คือเป็นทั้งแพทย์และนักจิตวิทยาที่บุกเบิกการศึกษาทางด้านจิตวิทยา ทฤษฏีต่างๆที่เขาค้นพบยังคงใช้มารักษาโลกทางจิตอยู่จนถึงปัจจุบัน หนึ่งในความคิดที่โด่งดังของเขาก็คือ ความเชื่อที่ว่าพลังจิตใต้สำนึกมีผลต่อพฤติกรรมของแต่ละบุคคลและจำแนกบุคคลให้มีลักษณะแตกต่างกัน
เขาอธิบายว่าจิตใต้สำนึกของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ อิด(Id) อีโก้(Ego) และ ซุปเปอร์อีโก้(Superego) โดยอิดจะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เช่น รัก โลภ โกรธ หลง หรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง ซึ่งหากคนเรามีอิด เพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ในขณะที่ซุปเปอร์อีโก้จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด อีโก หมายถึง จิตที่รู้สำนึกที่ก่อตัวและพัฒนาขึ้นมาเมื่อเด็กเจริญเติบโตเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ และความรู้สึกนึกคิด
ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิด และซุปเปอร์อีโก้นั้นจะมี อีโก้อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน
ฟรอยด์ เชื่อว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์
มีแรงจูงใจมาจากจิตไร้สำนึก ซึ่งมักจะผลักดันออกมาในรูปความฝัน การพูดพลั้งปาก หรืออาการผิดปกติทางด้านจิตใจในด้านต่างๆ เช่น โรคจิต โรคประสาท เป็นต้นยัง เชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับแรงขับทางสัญชาตญาณ(Instinctual drive)และเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ได้ จิตจึงเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงและไม่หยุดนิ่งบ้างจะแสดงออกมาในรูปแบบของสัญชาตญาณทางเพศ(Sexual Instinct)แต่ฟรอยด์ไม่ได้หมายถึง ความต้องการทางเพศ นอกจากนี้ฟรอยด์ยังได้อธิบายว่าสัญชาตญาณจะแสดงออกมาในรูปของพลังทางจิตที่เกี่ยวข้องกับพลังขับทางเพศเรียกว่า พลังลิบิโด(Libido)เป็นพลังที่ทำให้มนุษย์
มีแรงจูงใจมาจากจิตไร้สำนึก ซึ่งมักจะผลักดันออกมาในรูปความฝัน การพูดพลั้งปาก หรืออาการผิดปกติทางด้านจิตใจในด้านต่างๆ เช่น โรคจิต โรคประสาท เป็นต้นยัง เชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับแรงขับทางสัญชาตญาณ(Instinctual drive)และเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ได้ จิตจึงเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงและไม่หยุดนิ่งบ้างจะแสดงออกมาในรูปแบบของสัญชาตญาณทางเพศ(Sexual Instinct)แต่ฟรอยด์ไม่ได้หมายถึง ความต้องการทางเพศ นอกจากนี้ฟรอยด์ยังได้อธิบายว่าสัญชาตญาณจะแสดงออกมาในรูปของพลังทางจิตที่เกี่ยวข้องกับพลังขับทางเพศเรียกว่า พลังลิบิโด(Libido)เป็นพลังที่ทำให้มนุษย์
การทำงานของจิต แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. จิตไร้สำนึก( Unconscious Mind )
การแสดงพฤติกรรมของมนุษย์โดยออกไปโดยไม่รู้ตัว ที่เกิดมาจากพลังของจิตไร้สำนึกซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงออกไปตามหลักแห่งความพึงพอใจของตน และการทำงานของจิตไร้สำนึกเกิดจากความปรารถนา หรือความต้องการของบุคคลที่เกิดขึ้นในวัยเด็กที่ไม่ได้รับการยอมรับ เช่น การถูกห้าม หรือถูกลงโทษ จะถูกเก็บกดไว้ในจิตส่วนนี้
2. จิตสำนึก ( Conscious Mind )
บุคคลรับรู้ตามประสาทสัมผัสทั้งห้าที่บุคคลจะมีการรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ คิดอย่างไรเป็นการรับรู้โดยทั่วไปของมนุษย์ที่ควบคุมการกระทำส่วนใหญ่ให้อยู่ในระดับรู้ตัว (Awareness) และเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมา โดยมีเจตนาและมีจุดมุ่งหมาย
3. จิตก่อนสำนึก ( Preconscious Mind )
เป็นส่วนของประสบการณ์ที่สะสมไว้ หรือเมื่อบุคคลต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ก็สามารถระลึกได้และสามารถนำกลับมาใช้ในระดับจิตสำนึกได้ และเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ชิดกับจิตรู้สำนึกมากกว่าจิตไร้สำนึก จะเห็นได้ว่าการทำงานของจิตทั้ง 3 ระดับจะมาจากทั้งส่วนของจิตไร้สำนึกที่มีพฤติกรรม ส่วนใหญ่เป็นไปตามกระบวนการขั้นปฐมภูมิ(Primary Process)เป็นไปตามแรงขับสัญชาตญาณ( Instinctual Drives )และเมื่อมีการรับรู้กว้างไกลมากขึ้นจากตนเองไปยังบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม พลังในส่วนของจิตก่อนสำนึกและจิตสำนึกจะพัฒนาขึ้นเป็นกระบวนการขั้นทุติยภูมิ(Secondary Process)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น